นโยบายที่เกี่ยวกับการรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าหรือบุคคล
บริษัท เบสท์ คาร์ เซ็นเตอร์ จำกัด ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลและจะรักษาข้อมูลที่ได้รับจากลูกค้าไว้เป็นความลับ บริษัทจึงขอแจ้งให้ทราบถึงนโยบายที่เกี่ยวกับการรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าหรือบุคคลใดที่ได้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของบริษัท ดังนี้
บริษัท เบสท์ คาร์ เซ็นเตอร์ จำกัด (“บริษัท”) ตระหนักดีว่าข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกบันทึกโดยกล้องวงจรปิด (CCTV) สำหรับการเฝ้าระวังสังเกตการณ์รักษาความปลอดภัยในพื้นที่และบริเวณของบริษัท สำหรับพนักงาน ลูกจ้าง ลูกค้า คู่ค้า/พันธมิตร ผู้เข้าร่วมประชุม ผู้รับแหมา ผู้มาติดต่อหรือบุคคลใดๆที่เข้ามายังพื้นที่ (ซึ่งต่อไปนี้รวมเรียกว่า “ท่าน”) นั้นมีความสำคัญ เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลดังกล่าวจะถูกจัดเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผย เป็นไปตามวัตถุประสงค์ และเก็บไว้เป็นความลับ บริษัทจึงขอประกาศความเป็นส่วนตัวในการใช้กล้องวงจรปิด (CCTV) ดังนี้
- วัตถุประสงค์
บริษัทใช้กล้องวงจรปิด (CCTV) ภายในพื้นที่และโดยรอบบริเวณสถานที่ของบริษัท ในการบันทึกข้อมูลเพื่อการรักษาความปลอดภัยและความมั่นคงของสถานที่ ทรัพย์สินของท่าน ดังต่อไปนี้
- เพื่อการปกป้องสุขภาพและความปลอดภัยส่วนตัว ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ตกอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินหรืออันตราย รวมไปถึงทรัพย์สินของท่าน
- เพื่อการปกป้องอาคาร สิ่งอำนวยความสะดวกและทรัพย์สินของบริษัทจากความเสียหาย การขัดขวาง การทำลายซึ่งทรัพย์สินหรืออาชญากรรมอื่น
- เพื่อสนับสนุนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อการยับยั้ง ป้องกัน สืบค้น และ ดำเนินคดีทางกฎหมาย
- เพื่อการให้ความช่วยเหลือในกระบวนการระงับข้อพิพาทซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างที่มีกระบวนการทางวินัยหรือกระบวนการร้องทุกข์
- เพื่อการให้ความช่วยเหลือในกระบวนการสอบสวน หรือ กระบวนการเกี่ยวกับการส่งเรื่องร้องเรียน
- เพื่อการให้ความช่วยเหลือในกระบวนการริเริ่ม หรือป้องกันการฟ้องร้องทางแพ่ง ซึ่งรวมไปถึงแต่ไม่จำกัดเพียงการดำเนินการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจ้างงาน
- เพื่อดูแลรักษาความปลอดภัยให้แก่พนักงาน ผู้ใช้บริการ และบุคคลอื่นที่เข้ามาภายในสำนักงาน รวมถึงการดูแลทรัพย์สินของสำนักงานไม่ให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องสามารถเข้าออกเขตหวงห้าม และใช้ในการสอบสวนเหตุต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในสำนักงาน
- ฐานกฎหมายในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล
บริษัทดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านภายใต้ฐานกฎหมาย ดังต่อไปนี้
- ความจำเป็นในการป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของท่านหรือบุคคลอื่น
- ความจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของเราหรือบุคคลอื่น โดยประโยชน์ดังกล่าวมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าสิทธิขั้นพื้นฐานในข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน
- ความจำเป็นในการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งควบคุมดูแลเกี่ยวกับความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมในสถานที่ทำงาน และทรัพย์สินของบริษัท
ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงกฎหมายว่าด้วยความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมในสถานที่ทำงาน บริษัทถือว่าการใช้กล้องวงจรปิด (CCTV) เป็นมาตรการที่สำคัญซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถปฏิบัติตามภาระผูกพันเหล่านี้ได้
- ประเภทของข้อมูลส่วนบุคคลที่เราเก็บรวบรวม
ตามวัตถุประสงค์ที่ได้แจ้งในข้อ 2. บริษัททำการติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV) ในตำแหน่งที่มองเห็นได้ โดยจะติดป้ายเตือนว่ามีการใช้งานกล้องวงจรปิด (CCTV) ณ ทางเข้าและทางออก ภายในและภายนอกอาคาร รวมถึงพื้นที่ที่บริษัทเห็นสมควรว่าเป็นจุดที่ต้องมีการเฝ้าระวัง เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเมื่อท่านเข้ามายังพื้นที่ ดังต่อไปนี้
- ภาพนิ่ง
- ภาพเคลื่อนไหว
- เสียง
- ภาพทรัพย์สินของท่าน เช่น พาหนะ กระเป๋า หมวก เครื่องแต่งกาย เป็นต้น
- พฤติกรรมของบุคคล รวมถึงกิจกรรมที่ผิดปกติหรือต้องสงสัย
ทั้งนี้ บริษัทจะไม่ทำการติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่ที่อาจล่วงละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของท่านจนเกินสมควร ได้แก่ ห้องน้ำ หรือสถานที่เพื่อใช้ในการพักผ่อนของผู้ปฏิบัติงาน
4. การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านต่อบุคคลที่สาม
- บริษัทอาจเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านต่อบุคคลที่สาม (รวมถึงบริษัทในเครือและผู้ให้บริการของบริษัท) ในกรณีที่บริษัทพิจารณาว่ามีความจำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลส่วน บุคคลนั้นเพื่อวัตถุประสงค์ตามที่ระบุข้างต้น
- บริษัทอาจเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านต่อหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย หากมีความจำเป็นต้องเปิดเผยเพื่อการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของบริษัท และเพื่อสนับสนุนหรือช่วยเหลือหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในการป้องกัน สืบสวน และดำเนินคดีต่ออาชญากรรม
- ระยะเวลาการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล
เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของการเฝ้าระวังสังเกตโดยการใช้อุปกรณ์กล้องวงจรปิด (CCTV) ตามที่ประกาศฉบับนี้กำหนด บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลในกล้องวงจรปิด (CCTV) ที่เกี่ยวข้องกับท่าน เป็นระยะเวลาไม่เกิน 30 วัน นับแต่วันที่ท่านได้เข้าอาคารหรือบริเวณสถานที่ของบริษัท เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ภาพที่บันทึกไว้โดยกล้องวงจรปิดนั้นจะถูกลบโดยอัติโนมัติ ทั้งนี้ เมื่อพ้นระยะเวลาดังกล่าวบริษัทจะทำการ ลบ นำออกจากระบบ ทำลาย หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุ ตัวบุคคลที่เป็นเจ้าของข้อมูลได้
6. ท่านมีสิทธิตามกฎหมายดังต่อไปนี้
- สิทธิในการเข้าถึง รับสำเนา และขอให้เปิดเผยที่มาของข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่บริษัทจัดเก็บรวบรวมอยู่ เว้นแต่ กรณีที่บริษัทมีสิทธิปฏิเสธคำขอของท่านตามกฎหมายหรือคำสั่งศาล หรือกรณีที่คำขอของท่านจะมีผลกระทบที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น
- สิทธิในการขอแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วน เพื่อให้มีความถูกต้อง เป็นปัจจุบัน สมบูรณ์ และไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด
- สิทธิในการขอให้ระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในกรณีหนึ่งกรณีใด ดังต่อไปนี้
3.1 เมื่ออยู่ในช่วงเวลาที่บริษัททำการตรวจสอบตามคำร้องขอของท่านให้แก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้ถูกต้อง สมบูรณ์และเป็นปัจจุบัน
3.2 ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านถูกเก็บรวบรวม ใช้หรือเปิดเผยโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
3.3 เมื่อข้อมูลส่วนบุคคลของท่านหมดความจำเป็นในการเก็บรักษาไว้ตามวัตถุประสงค์บริษัทได้แจ้งไว้ในการเก็บรวบรวม แต่ท่านประสงค์ให้บริษัทเก็บรักษาข้อมูลนั้นต่อไปเพื่อประกอบการใช้สิทธิตามกฎหมายของท่าน
3.4 เมื่ออยู่ในช่วงเวลาที่บริษัทกำลังพิสูจน์ให้ท่านเห็นถึงเหตุอันชอบด้วยกฎหมายในการเก็บรวบรวม ใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หรือตรวจสอบความจำเป็นในการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเพื่อประโยชน์สาธารณะ อันเนื่องมาจากการที่ท่านได้ใช้สิทธิคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน
4. สิทธิในการคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เว้นแต่ กรณีที่บริษัทมีเหตุในการปฏิเสธคำขอของท่านโดยชอบด้วยกฎหมาย (เช่น บริษัทสามารถแสดงให้เห็นว่าการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านมีเหตุอันชอบด้วยกฎหมายยิ่งกว่า หรือเพื่อการก่อตั้งสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย การปฏิบัติตามหรือการใช้สิทธิเรียกร้องทางกฎหมาย หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะตามภารกิจของบริษัท)
7. การรักษาความมั่นคงปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคล
บริษัทมีมาตรการในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอย่างเหมาะสม ทั้งในเชิงเทคนิคและการบริหารจัดการ เพื่อป้องกันมิให้ข้อมูลสูญหาย หรือมีการเข้าถึง ลบ ทำลาย ใช้ เปลี่ยนแปลง แก้ไข หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายและแนวปฏิบัติด้านความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ (Information Security Policy) ของบริษัท
นอกจากนี้ บริษัทได้กำหนดให้มีนโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลขึ้นโดยประกาศให้ทราบโดยทั่วกันทั้งองค์กร พร้อมแนวทางปฏิบัติเพื่อให้เกิดความมั่นคงปลอดภัยในการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล โดยธำรงไว้ซึ่งความเป็นความลับ (Confidentiality) ความถูกต้องครบถ้วน (Integrity) และสภาพพร้อมใช้งาน (Availability) ของข้อมูลส่วนบุคคล โดยบริษัทได้จัดให้มีการทบทวนนโยบายดังกล่าวรวมถึงประกาศนี้ในระยะเวลาตามที่เหมาะสม
- ความรับผิดชอบของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล
บริษัทได้กำหนดให้เจ้าหน้าที่เฉพาะผู้ที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องในการจัดเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของกิจกรรมการประมวลผลนี้เท่านั้นที่จะสามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของท่านได้ โดยบริษัทจะดำเนินการให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามประกาศนี้อย่างเคร่งครัด
9. การเปลี่ยนแปลงแก้ไขคำประกาศเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว
ในการปรับปรุง หรือเปลี่ยนแปลงประกาศนี้ บริษัทอาจพิจารณาแก้ไขเปลี่ยนแปลงตามที่เห็นสมควร และจะทำการแจ้งให้ท่านทราบผ่านช่องทาง เช่น ติดไว้ที่ประตูทางเข้า-ออก หรือโต๊ะประชาสัมพันธ์ เว็บไซต์ บอร์ดประชาสัมพันธ์ เป็นต้น
การเข้ามาในพื้นที่ของท่าน ถือเป็นการรับทราบตามข้อตกลงในประกาศนี้ ทั้งนี้ โปรดระงับการเข้าพื้นที่ หากท่านไม่เห็นด้วยกับข้อตกลงในประกาศฉบับนี้ หากท่านยังคงเข้ามาในพื้นที่ต่อไปภายหลังจากที่ประกาศนี้มีการแก้ไขและนำขึ้นประกาศในช่องทางข้างต้นแล้ว จะถือว่าท่านได้รับทราบการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวแล้ว
- 10. ช่องทางการติดต่อสอบถามหรือใช้สิทธิ
หากท่านต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดการข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัท ตลอดจนมีข้อสงสัย หรือมีความประสงค์ขอใช้สิทธิเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน สามารถ ติดต่อบริษัทผ่านช่องทางดังนี้
ชื่อบริษัท : บริษัท เบสท์ คาร์ เซ็นเตอร์ จำกัด
ที่อยู่ : 895-6 หมู่ที่ 5 ถนนศรีนครินทร์ ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ
จังหวัดสมุทรปราการ 10270
เว็บไซน์ของบริษัท : www.Best-carcenter.com
อีเมล : cm.dpo@mitsibleasing.com
เบอร์โทรศัพท์ : 02-7438787 กด1 ต่อ 923
บริษัท เบสท์ คาร์ เซ็นเตอร์ จำกัด (“ บริษัท ”) ตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ( “ ท่าน ” ) ได้ให้ไว้กับบริษัทผ่านช่องทางต่างๆ บริษัทจึงขอแจ้งให้ทราบถึงนโยบายความเป็นส่วนตัวอันเกี่ยวข้องกับแนวทางการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยบริษัท ซึ่งอาจรวมถึงข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว (Sensitive Data) เมื่อเจ้าของข้อมูลมีนิติสัมพันธ์ ติดต่อ หรือใช้บริการ และ/หรือผลิตภัณฑ์ของบริษัทผ่านช่องทางต่างๆ ที่บริษัทกำหนด ดังนั้นบริษัทจึงจัดทำนโยบายฉบับนี้ขึ้นเพื่อชี้แจง รายละเอียดเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล การทำลายข้อมูล อีกทั้งสิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งท่านสามารถศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลได้ ดังต่อไปนี้
1. ข้อมูลที่เก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล และแหล่งที่มาของข้อมูล
บริษัทจะทำการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผย ข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้รับไม่ว่าทางตรง ทางอ้อม หรือจากแหล่งอื่น รวมถึงการได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลอย่างชัดแจ้ง โดยจะจัดเก็บเท่าที่จำเป็นเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่แจ้งไว้แก่เจ้าของข้อมูล
1.1 ข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป ที่เป็นข้อมูลแสดงตัวตนของท่าน Identity Data ซึ่งหมายถึง ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบุคคลธรรมดาที่ทำให้สามารถระบุตัวตนของท่านได้ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม เช่น ชื่อ/นามสกุล เลขบัตรประจำตัวประชาชน เลขหนังสือเดินทาง วัน/เดือน/ปีเกิด รวมถึงข้อมูลอ่อนไหว เช่น ข้อมูลชีวภาพ ( ลายนิ้วมือ ข้อมูลใบหน้า ) ข้อมูลสุขภาพ เป็นต้น
1.2 ข้อมูลติดต่อของท่าน Contact Data เช่น ที่อยู่ อีเมล หมายเลขโทรศัพท์
1.3 ข้อมูลทางการเงินหรือข้อมูลการทำธุรกรรมของท่านกับบริษัท Financial and Transaction Data เช่น หมายเลขบัญชีเงินฝาก/เงินลงทุน หรือรายการเบิก/ถอนเงินในบัญชี ข้อมูลรายได้ รายจ่าย ยอดเงินฝากที่มีกับธนาคาร ประวัติสินเชื่อที่มีอยู่กับบริษัท หรือข้อมูลการชำระหนี้ ข้อมูลจากฐานข้อมูลของกรมบังคับคดี เป็นต้น
1.4 ข้อมูลความชื่นชอบของท่านในการค้นหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต Technical and Usage Data เช่น การค้นหาข้อมูลผลิตภัณฑ์ของบริษัท ( Website Browsing ) จากการใช้ Cookies หรือการเชื่อมต่อเว็บไซต์อื่นๆที่ท่านเข้าไปค้นหาข้อมูล เป็นต้น
1.5 ข้อมูลการติดต่อกับบริษัท Communication Data เช่น เทปบันทึกในกรณีที่ท่าน เข้ามาติดต่อบริษัท ผ่านทาง Contact Center ซึ่งอาจเป็นภาพหรือเสียง เป็นต้น และไม่ว่าท่านได้ให้ข้อมูลไว้หรือมีอยู่กับบริษัท หรือที่บริษัทได้รับ หรือเข้าถึงได้จากแหล่งข้อมูลอื่นที่น่าเชื่อถือ และ/หรือบริษัทพันธมิตรของบริษัท หรือที่ปรึกษาของบริษัท
2. วัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
ทั้งนี้ บริษัททำการเก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อประโยชน์ของท่านในการทำธุรกรรมและ/หรือใช้บริการกับบริษัท เพื่อปฎิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง และ/หรือเพื่อประโยชน์อื่นใดที่ท่านได้ให้ความยินยอมไว้แก่บริษัท โดยบริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลของท่านตามมาตรการรักษาความปลอดภัยของบริษัท ท่านสามารถศึกษารายละเอียดได้ดังต่อไปนี้
2.1 การปฎิบัติตามสัญญาระหว่างท่านกับบริษัท เช่น การใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการต่างๆของท่าน การปฎิบัติตามกระบวนการภายในของบริษัท การทำประกันภัยทรัพย์หลักประกัน การโอนขายกลุ่มลูกหนี้ให้แก่บุคคลอื่น การรับ-ส่งเอกสารการติดต่อระหว่างบริษัท การทวงถามให้ท่านชำระหนี้ที่ค้างตามสัญญาสินเชื่อที่มีกับบริษัท
2.2 การปฎิบัติตามกฎหมาย เช่น การป้องกันและการตรวจจับความผิดปกติของธุรกรรมที่นำไปสู่กิจกรรมที่ผิดกฎหมาย การรายงานข้อมูลของท่านต่อกรมสรรพากร การรายงานข้อมูลส่วนบุคคลต่อหน่วยงานราชการ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ กรมสรรพากร หรือ เมื่อได้รับหมายเรียกหมายอายัดจากหน่วยงานราชการ หรือ ศาล เป็นต้น
2.3 ประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมายของบริษัท เช่น
- การป้องกัน รับมือ ลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการกระทำที่ผิดกฎหมายต่างๆ ซึ่งรวมถึงการแบ่งปันข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อยกระดับมาตรฐานการทำงานของบริษัทในธุรกิจเดียวกันในการป้องกัน รับมือ ลดความเสี่ยงข้างต้น
- การบันทึกภาพผู้ที่มาติดต่อทำธุรกรรมกับสำนักงานหรือสาขาของบริษัทลงบน CCTV
- การบริหารความเสี่ยง/การบริหารจัดการภายในองค์กร รวมถึงการส่งต่อไปยังบริษัทในเครือกิจการเพื่อการดังกล่าว ภายใต้นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของเครือกิจการ Binding Corporate Rules
- การตรวจสอบการรับส่งอีเมลหรือการใช้อินเตอร์เน็ตของพนักงานกับท่าน เพื่อป้องกันการเปิดเผยข้อมูลลับของบริษัทต่อบุคคลภายนอก
- การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อใช้ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ในประเภทเดียวกันกับที่ท่านมีอยู่กับบริษัทและผลิตภัณฑ์อื่นของบริษัทให้แก่ท่านอย่างเหมาะสมกับความต้องการของท่าน และ/หรือในการทำวิจัยทางการตลาด เพื่อผลิตภัณฑ์ของบริษัท
- การรักษาความสัมพันธ์กับท่าน เช่น การจัดการข้อร้องเรียน การเสนอสิทธิประโยชน์พิเศษโดยไม่มีวัถตุประสงค์ทางการตลาดให้แก่ท่าน เป็นต้น
ทั้งนี้หากท่านไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลกับเราอาจส่งผลกระทบต่อท่านในการไม่ได้รับการให้ผลิตภัณฑ์/บริการไม่ได้รับความสะดวก หรือไม่ได้รับการปฎิบัติตามสัญญาและท่านอาจได้รับความเสียหาย/เสียโอกาส และอาจส่งผลกระทบต่อการปฎิบัติตามกฎหมายใดๆที่ท่านหรือบริษัทต้องปฎิบัติ และอาจมีบทกำหนดโทษที่เกี่ยวข้อง
3. การเปิดเผยและการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลร่วมกับบุคคลที่สาม
หากท่านได้ให้ความยินยอม หรือเป็นการจำเป็นเพื่อการปฏิบัติตามสัญญา เพื่อปฏิบัติตามกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ หรือเป็นไปตามความจำเป็นเพื่อประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมาย เป็นต้น บริษัทอาจส่ง โอน และ/หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลใดๆ ไปยังบุคคลอื่นทั้งที่อยู่ในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยบริษัทอาจเปิดเผยหรือใช้ข้อมูลของเจ้าของข้อมูลตามวัตถุประสงค์ดังกล่าวข้างต้นกับบุคคลดังต่อไปนี้ เช่น
3.1 บริษัทในกลุ่มธุรกิจการเงินทั้งที่อยู่ในประเทศไทยและต่างประเทศ รวมถึง กรรมการ พนักงาน หรือตัวแทนของบริษัทเหล่านั้น
3.2 พันธมิตรทางธุรกิจ (ตรวจสอบรายชื่อดังกล่าวได้จากเว็บไซต์ของบริษัท)
3.3 หน่วยงานทางการที่กำกับดูแลบริษัท ศาล ตำรวจ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานคณะกรรมการการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย รวมทั้ง ผู้ตรวจสอบบัญชี หรือหน่วยงานทางการอื่นใดที่มีอำนาจและมีคำสั่งให้บริษัทส่งข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลหรือนำส่งทรัพย์สิน เช่น กรมบังคับคดี กรมสรรพากร เป็นต้น
3.4 หน่วยงาน องค์กร ผู้ให้บริการภายนอก หรือนิติบุคคลอื่นใดที่มีสัญญากับบริษัท หรือที่บริษัทเป็นคู่สัญญา หรือที่บริษัทมีความสัมพันธ์ด้วย ซึ่งบริษัทมีความจำเป็นที่จะต้องเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อการให้บริการและ/หรือผลิตภัณฑ์ของบริษัท เช่น ผู้ให้บริการ Cloud Computing บริษัทรับจ้างทำกิจกรรมทางการตลาด บริษัทรับจ้างพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศให้แก่บริษัท
3.5 บริษัทข้อมูลเครดิตและสมาชิกตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต เป็นต้น
3.6 เปิดเผยข้อมูลให้แก่บุคคลภายนอกตามที่บริษัทได้รับความยินยอมจากท่าน
3.7 เปิดเผยข้อมูลเพื่อทำการธุรกรรม และ/หรือ การใช้บริการตามความประสงค์ของท่าน
4. สิทธิของเจ้าของข้อมูลเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล
บริษัทคำนึงถึงสิทธิส่วนบุคคลของท่าน ซึ่งสิทธิของท่านเป็นสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ควรทราบ ได้แก่
4.1 สิทธิขอถอนความยินยอม หากท่านได้ให้ความยินยอมให้บริษัทเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน (ไม่จะเป็นความยินยอมที่ท่านให้ไว้ก่อนวันที่กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลใช้บังคับหรือหลังจากนั้น) ท่านมีสิทธิที่จะถอนความยินยอมเมื่อใดก็ได้ตลอดระยะเวลาที่ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอยู่กับบริษัท เว้นแต่มีข้อจำกัดสิทธินั้นโดยกฎหมายหรือมีสัญญาที่ให้ประโยชน์แก่ท่านอยู่
ทั้งนี้ การถอนความยินยอมของท่านอาจส่งผลกระทบต่อท่านจากการใช้ผลิตภัณฑ์ และ/หรือบริการต่างๆ เช่น ท่านจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ โปรโมชั่นหรือข้อเสนอใหม่ๆ ไม่ได้รับผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ดียิ่งขึ้นและสอดคล้องกับความต้องการของท่าน หรือไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารอันเป็นประโยชน์แก่ท่าน เป็นต้น เพื่อประโยชน์ของท่าน จึงควรศึกษาและสอบถามถึงผลกระทบก่อนเพิกถอนความยินยอม
4.2 สิทธิขอเข้าถึงข้อมูล ท่านมีสิทธิขอเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่อยู่ในความรับผิดชอบของบริษัท และขอให้บริษัททำสำเนาข้อมูลดังกล่าวให้แก่ท่าน รวมถึงขอให้บริษัทเปิดเผยว่าบริษัทได้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านมาได้อย่างไร
4.3 สิทธิขอถ่ายโอนข้อมูล ท่านมีสิทธิขอรับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในกรณีที่บริษัทได้จัดทำข้อมูลส่วนบุคคลนั้นอยู่ในรูปแบบให้สามารถอ่านหรือใช้งานได้ด้วยเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ทำงานได้โดยอัตโนมัติ และสามารถใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลได้ด้วยวิธีการอัตโนมัติ รวมทั้งมีสิทธิขอให้บริษัทส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบดังกล่าวไปยังผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่นเมื่อสามารถทำได้ด้วยวิธีการอัตโนมัติ และมีสิทธิขอรับข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบดังกล่าวไปยัง ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่นโดยตรง เว้นแต่ไม่สามารถดำเนินการได้เพราะเหตุทางเทคนิค ทั้งนี้ ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านข้างต้นต้องเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมแก่บริษัทในการเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือเปิดเผย หรือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทจำเป็นต้องเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือเปิดเผยเพื่อให้ลูกค้า/คู่ค้าสามารถใช้ผลิตภัณฑ์ และ/หรือบริการของบริษัทได้ตามความประสงค์ซึ่งท่านเป็นคู่สัญญาอยู่กับบริษัท หรือเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอของท่านก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ และ/หรือบริการของบริษัท หรือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลอื่นตามที่ผู้มีอำนาจตามกฎหมายกำหนด
4.4 สิทธิขอคัดค้าน ท่านมีสิทธิขอคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในเวลาใดก็ได้ หากการเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่ทำขึ้นเพื่อการดำเนินงานที่จำเป็นภายใต้ประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือของบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น โดยไม่เกินขอบเขตที่ท่านสามารถคาดหมายได้อย่างสมเหตุสมผล หรือเพื่อดำเนินการตามภารกิจเพื่อสาธารณประโยชน์ หากท่านยื่นคัดค้าน บริษัทจะยังคงดำเนินการเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านต่อไปเฉพาะที่บริษัทสามารถแสดงเหตุผลตามกฎหมายได้ว่ามีความสำคัญยิ่งกว่าสิทธิขั้นพื้นฐานของท่าน หรือเป็นไปเพื่อการยืนยันสิทธิตามกฎหมาย การปฏิบัติตามกฎหมาย หรือการต่อสู้ในการฟ้องร้องตามกฎหมาย ตามแต่ละกรณี
นอกจากนี้ ท่านยังมีสิทธิขอคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่ทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการตลาด หรือเพื่อวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หรือสถิติได้อีกด้วย
4.5 สิทธิขอให้ลบหรือทำลายข้อมูล ท่านมีสิทธิขอลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวท่านได้ หากท่านเชื่อว่าข้อมูลส่วนบุคคลของท่านถูกเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือเปิดเผยโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หรือเห็นว่าบริษัทหมดความจำเป็นในการเก็บรักษาไว้ตามวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องในนโยบายฉบับนี้ หรือเมื่อท่านได้ใช้สิทธิขอถอนความยินยอมหรือใช้สิทธิขอคัดค้านตามที่แจ้งไว้ข้างต้นแล้ว
4.6 สิทธิขอให้ระงับการใช้ข้อมูล ท่านมีสิทธิขอให้ระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลชั่วคราวในกรณีที่บริษัทอยู่ระหว่างตรวจสอบตามคำร้องขอใช้สิทธิขอแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลหรือขอคัดค้านของท่าน หรือกรณีอื่นใดที่บริษัทหมดความจำเป็นและต้องลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องแต่ท่านขอให้บริษัทระงับการใช้แทน
4.7 สิทธิขอให้แก้ไขข้อมูล ท่านมีสิทธิขอแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้ถูกต้องเป็นปัจจุบันสมบูรณ์และไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด
4.8 สิทธิร้องเรียน ท่านมีสิทธิร้องเรียนต่อผู้มีอำนาจตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หากท่านเชื่อว่าการเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเป็นการกระทำในลักษณะที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
4.9 การใช้สิทธิของท่านดังกล่าวข้างต้นอาจถูกจำกัดภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง และมีบางกรณีที่มีเหตุจำเป็นที่บริษัทอาจปฏิเสธหรือไม่สามารถดำเนินการตามคำขอใช้สิทธิข้างต้นของท่านได้ เช่น ต้องปฏิบัติตามกฎหมายหรือคำสั่งศาล เพื่อประโยชน์สาธารณะ การใช้สิทธิอาจละเมิดต่อสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น เป็นต้น หากบริษัทปฏิเสธคำขอข้างต้น บริษัทจะแจ้งเหตุผลของการปฏิเสธให้ท่านทราบด้วย
ท่านสามารถขอใช้สิทธิดังกล่าวข้างต้นได้ โดยยื่นคำร้องขอใช้สิทธิต่อบริษัทเป็นลายลักษณ์อักษร หรือผ่านทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ตามแบบฟอร์มที่บริษัทกำหนดผ่าน”ช่องทางการติดต่อของบริษัท”ด้านล่าง โดยบริษัทจะพิจารณาแจ้งผลการพิจารณาตามคำร้องฯของท่านภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้องฯ ดังกล่าว ทั้งนี้ บริษัทอาจปฏิเสธสิทธิของเจ้าของข้อมูลได้ในกรณีที่มีกฏหมายกำหนดไว้
5. คุกกี้
คุกกี้คือไฟล์ข้อมูลขนาดเล็กที่จะเก็บข้อมูลเท่าที่จำเป็นในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเจ้าของข้อมูลไว้ชั่วคราว เพื่ออำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสาร รวมถึงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น และเพื่อให้ได้รับการบริการที่ดีที่สุด โดยไม่ได้บันทึกข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งข้อมูลคุกกี้จะถูกจัดเก็บเป็นเวลา 12 เดือน (ตรวจสอบสถานะการใช้งานหรือปฏิเสธการใช้งานคุกกี้ในเบราว์เซอร์ได้ทางหน้าเว็บไซต์ของบริษัท)
6. มาตรการในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล
บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเป็นอย่างดีตามมาตรการเชิงเทคนิค (Technical Measure) และมาตรการเชิงบริหารจัดการ (Organizational Measure) เพื่อรักษาความมั่นคงปลอดภัยในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่เหมาะสม และเพื่อป้องกันการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล โดยบริษัทได้กำหนดนโยบาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เช่น มาตรฐานความปลอดภัยของ ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้รับข้อมูลไปจากบริษัทใช้หรือเปิดเผยข้อมูลนอกวัตถุประสงค์ หรือโดยไม่มีอำนาจหรือโดยไม่ชอบ และบริษัทได้มีการปรับปรุงนโยบาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ดังกล่าวเป็นระยะๆ ตามความจำเป็นและเหมาะสม
นอกจากนี้ ผู้บริหาร พนักงาน ลูกจ้าง ผู้รับจ้าง ตัวแทน ที่ปรึกษา และผู้รับข้อมูลจากบริษัทมีหน้าที่ต้องรักษาความลับข้อมูลส่วนบุคคลตามมาตรการรักษาความลับที่บริษัทกำหนดขึ้น
7. ระยะเวลาจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคล
กรณีที่ท่านไม่ได้เป็นลูกค้า และ/หรือคู่ค้า ของบริษัทอีกต่อไปหรือยุติความสัมพันธ์กับบริษัทไปแล้ว บริษัทจะพิจารณาจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลไว้ตามที่กฎหมายกำหนด เช่น ) จัดเก็บไว้เพื่อวัตถุประสงค์ในการพิสูจน์ตรวจสอบกรณีอาจเกิดข้อพิพาทภายในอายุความตามที่กฎหมายกำหนดเป็นระยะเวลาไม่เกิน 10 ปี เป็นต้น และเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาในการจัดเก็บแล้วบริษัทจะทำลายข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวทันที
8. ช่องทางการติดต่อ
บริษัทจัดให้มีช่องทางการติดต่อหากท่านมีข้อร้องเรียน หรือต้องการใช้สิทธิที่เกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล โดยสามารถติดต่อตามข้อมูลที่แจ้งไว้ในแต่ละช่องทางการบริการของบริษัท
8.1 ติดต่อสำนักงานใหญ่
บริษัท เบสท์ คาร์ เซ็นเตอร์ จำกัด
ที่อยู่ :434/1 ถ.ศรีนครินทร์ ต.สำโรงเหนือ อ.เมืองสมุทรปราการ เทศบาลนครสมุทรปราการ 10270
8.2 อีเมล : admin@best-carcenter.com
8.3 Call Center 02-7438634